Get Adobe Flash player

มรดกล้ำค่า    จากหนังสือเมล็ดพันธุ์แห่งปรีชาญาณ เล่ม 4  

  ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งสัญญาจะให้เงินแก่ลูกทั้ง 10 คน คนละ 100 เหรียญทองในวันที่เขาตาย ขณะที่เขาให้สัญญากับลูกๆ เขามีเงินมากพอที่จะให้ลูกทุกคนได้ แต่เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาเผชิญกับปัญหาด้านการเงินและไม่มีเงินเหลือพอจะให้ลูกๆ ตามที่สัญญาไว้
วันที่ชายคนนี้กำลังจะตาย ลูกๆ มารวมกันใกล้เตียงตาที่พ่อของเขาขอร้อง แต่ละคนเข้าไปกอดพ่อและรับถุงบรรจุ 100 เหรียญทอง เมื่อถึงลูกคนสุดท้อง พ่อของเขาให้ลูกคนอื่นออกไปจากห้อง
“ลูกรัก” พ่อกล่าวกับลูกคนสุดท้อง “พ่อมีข่าวร้ายจะบอกลูก แม้ว่าพ่อจะได้ให้พี่ๆ ของเจ้าไปคนละ 100 เหรียญทอง แต่พ่อมีให้เจ้าเพียงแค่ 20 เหรียญทองเท่านั้น”
“โธ่พ่อ” ลูกคนเล็กคัดค้าน “ถ้าพ่อรู้เช่นนี้ทำไมพ่อไม่แบ่งเงินอย่างยุติธรรมแก่ลูกทุกคน”
“คงจะเป็นการดีกว่าที่พ่อจะรักษาคำพูดของพ่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” พ่อกล่าวกับลูกคนเล็ก “แม้ว่าพ่อจะไม่สามารถให้เงินเจ้า 100 เหรียญตามที่พ่อสัญญา แต่พ่อมีขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดที่จะให้ลูก นอกเหนือจาก 20 เหรียญทอง ที่พ่อตั้งใจจะให้ลูก พ่อยังมีเพื่อนสนิท 10 คน ที่พ่อจะมอบให้ลูก มิตรภาพของเพื่อนเหล่านี้มีค่ามากกว่าเงินทองมากมายที่พ่อเคยครอบครอง พ่อขอให้ลูกจงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี” หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็สิ้นใจ
เมื่อการไว้ทุกข์ผ่านไป ลูกทั้ง 9 คนตื่นเต้นมากกับทรัพย์สมบัติที่พ่อให้ แล้วเดินทางท่องเที่ยว ลูกคนเล็กอยู่กับบ้าน เขาผิดหวังอย่างมากเพราหลังจากชำระหนี้สินแล้วพบว่ามีเงินเหลือเพียง4 เหรียญเท่านั้น แม้เขารู้สึกไม่อยากพบเพื่อนสนินของบิดาเท่าไรนัก แต่เขาคิดว่าเขาควรจะทำตามคำขอสุดท้ายของบิดา ที่สุดเขาตัดสินใจใช้เงินที่เหลือน้อยนิดเชิญเพื่อนๆ ทั้ง 10 ของบิดามารับประทานอาหารเย็น
เมื่อรับประทานอาหารเย็นแล้ว ผู้อาวุโสพูดคุยกัน
          “นี่เป็นลูกคนเดียวที่ปฏิบัติต่อเราอย่างมีน้ำใจ ให้เราตอบแทนความรักของเขาเถิด”
รุ่งเช้า เพื่อนของพ่อแต่ละคนให้วัวคนละ 2 ตัว พร้อมถุงเงินจำนวนหนึ่งแก่ลูกคนเล็ก หลายคนช่วยขยายพันธุ์สัตว์ ในไม่ช้าลูกคนเล็กก็มีสัตว์เลี้ยงฝูงใหญ่ เพื่อนของพ่อบางคนให้คำแนะนำในการลงทุน ภายในเวลาไม่นาน ลูกคนเล็กมีเงินมากกว่าพี่ๆ ทั้ง 9 คน บทโต๊ะทำงานของเขา เขียนไว้ว่า 
“มิตรภาพมีค่ามากว่าทองคำ

2020
สิ่งที่ต้องละทิ้งจากชึวิต                             สิ่งที่ต้องยึดมั่นในชีวิต
อย่าหันเหจากพระองค์                                     จงดำเนินชีวิตในพระองค์
อย่างกลัวเลย                                                 จงมีความเชื่อไว้เถิด
อย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้                                       จงวางใจในพระองค์ทุกเวลา
อย่าทำบาปอีก                                                จงระลึกถึงบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อย่าโต้ตอบคนชั่ว                                            จงดำเนินชีวิตในความรัก
อย่าตัดสินเขา                                                 จงให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
อย่าคิดอย่างเด็กๆ                                            จงเป็นผูใหญ่ในความคิด
อย่าแสวงหาความชั่ว                                       จงแสวงหาความดี
อย่าหวั่นไหวเลย                                              จงมีความรักมั่นคงในพระเจ้า
อย่าหลอกลวงตนเอง                                         จงดำเนินชีวิตในความจริงด้วยความรัก
อย่าปล่อยตัวเสเพล                                           จงละเว้นความชั่วทุกรูปแบบ
อย่าบ่น                                                          จงอดทนต่อความทุกข์ยาก
อย่าให้ใครเสาะหาผลประโยชน์ส่วนตน                จงมีใจกว้างในการให้และพร้อมที่จะแบ่งปัน
อย่าพูดคำเลวร้ายใดๆ                                        จงพูดแต่คำดีงามเพื่อช่วยส่งเสริมาผู้อื่น
อย่าเกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืด                    จงระมัดระวังอย่าปล่อยตัวไปตามความหลงผิด
อย่าละเลยพระพรพิเศษที่มีอยู่ในท่าน                    จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย
อย่าให้ผู้ใดดำเนินชีวิตอย่างไร้ประโยชน์                จงใช้เวลาปัจจุบันให้ดีที่สุด
อย่าโอ้อวดและอย่ามุสาต่อต้านความจริง               จงซื่อสัตย์...และดำเนินชีวิตในความจริง
อย่าให้ใครชักนำท่านให้หลงผิด                           จงพยายามทำตามตัวอย่างที่ดี
อย่ารักโลกและสิ่งที่อยู่ในโลกเลย                           เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด
                                                                     ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
 

การภาวนาของนักบุญ

  • ยุคใหม่นี้ถูกซาตานครอบงำ และจะเป็นเช่นนี้หนักขึ้นอีกในอนาคต มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะความขัดแย้งกับนรกได้ แม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุด พระนางผู้นิรมลเพียงคนเดียวที่ได้รับคำสัญญาจากพระเจ้าว่าสามารถชนะซาตานได้ แต่บัดนี้ พระนางได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์แล้ว พระมารดาของพระเจ้าทรงต้องการความร่วมมือจากเรา พระนางแสวงหาวิญญาณทั้งหลายที่จะถวายตัวแด่พระนางอย่างสิ้นเชิง วิญญาณที่เมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของพระนาง เขาจะกลายเป็นเครื่องมืออันทรงอำนาจในการเอาชนะซาตาน และแผ่ขยายพระอาณาจักรของพระเจ้า   (นักบุญมักซีมิเลียม กอลเบ)
  • อานุภาพอันยิ่งใหญ่ของสายประคำคือการทำให้บทสัญลักษณ์ของอัครสาวกกลายเป็นคำภาวนาและเป็นการแสดงความเคารพต่อพระเจ้า สายประคำเผยให้เราเห็นความจริงอันยิ่งใหญ่ของชีวิตและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพื่อให้เรานำไปรำพึงภาวนา และนำความจริงเหล่านี้มาใกล้ชิดหัวใจของเรามากขึ้น  (นักบุญยอห์น เฮนรี่ นิวแมน)
  • จงรักแม่พระ และสวดสายประคำเถิด เพราะสายประคำของพระนางคืออาวุธสำหรับใช้ต่อสู้กับความชั่วในโลกทุกวันนี้ (นักบุญคุณพ่อปีโอ)
  • แสงสว่างของดวงดาวนำทางชาวเรือไปถึงท่าเรือฉันใด พระนางมารีย์ก็ทรงนำทางคริสตชนไปสู่สวรรค์ฉันนั้น (นักบุญโทมัส อไควนัส)
  • การภาวนา คือสิ่งที่เอาชนะความเข็มแข็งของปีศาจ และเปลี่ยนมนุษย์จากตาบอดให้มองเห็น จากอ่อนแอให้เข็มแข็ง และจากคนบาปให้เป็นนักบุญ  (นักบุญอัลฟอนโซ ลิโกวรี)
  • การภาวนาไม่ใช่การขอ การภาวนาคือการวางตนเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ให้พระองค์ทรงจัดการ และฟังเสียงของพระองค์ในส่วนลึกของหัวใจเรา (นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา)
  • ความหวังที่ทำให้ข้าพเจ้าภาวนา คือความจริงที่ว่า พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพเจ้าภาวนา และข้าพเจ้าไปพบพระองค์ตามที่นัดหมาย ก็เพราะพระองค์กำลังรอข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นแล้ว

(คาร์โล คาร์เร็ตโต)

9 สิ่งที่จำเป็น สำหรับชีวิตที่เป็นสุข

  1. สุขภาพแข็งแรงเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างมีความสุข
  2. มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะซื้อสิ่งของที่จำเป็นได้
  3. เข้มแข็งเพียงพอที่จะต่อสู้และเอาชนะความยากลำบาก
  4. สุภาพมากพอที่จะสารภาพบาป และละทิ้งความชั่วร้าย
  5. อดทนมากพอที่จะมองเห็นความดีในเพื่อนมนุษย์
  6. เมตตามากพอที่จะมองเห็นความดีในตัวเพื่อนมนุษย์
  7. รักมากพอที่จะผลักดันตัวเองให้มีประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น
  8. ศรัทธามากพอที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
  9. หวังมากพอที่จะสลัดความหวาดกังวลเรื่องอนาคต

ขจัดผัดวันประกันพรุ่ง

หลายคนคงจำความรู้สึกนี้ได้ดี ในตอนที่มีอีเมล์ที่ยังไม่ได้อ่านหลายสิบฉบับ หรือมีรายงานการบ้านที่วางกองเป็นตั้งๆ โดยคุณบอกกับตัวเองว่าอีก 30 นาที คุณจะต้องสะสางงานพวกนี้ให้เสร็จ  แต่แล้วก็เช่นเคย ล่วงเลยมาไม่เป็นไปตามที่หวังไว้
ความจริงแล้วปัญหานี้ใครๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น นั่นก็คือการ “ผัดวันประกันพรุ่ง” พวกเราผ่านจุดนี้มากันทุกคน แต่บางคนกลับเป็นแบบนี้ทุกวัน คนที่ชอบผลัดวันประกันพรุ่งจนติดเป็นนิสัยและชอบพูดว่า “ไว้ค่อยทำทีหลัง” จนนับไม่ถ้วน สุดท้ายงานที่ค้างวันแล้ววันเล่าก็ล้นออกมาจนรับมือไม่ไหวอีกต่อไป และจมกับคำพูดในหัวว่า “ไม่น่าทำแบบนี้แลย” คำถามก็คือ ทำไม่คนเราถึงชอบผลัดวันประกันพรุ่งล่ะ และมีวิธีใดบ้างไหมที่จะช่วยให้เราเลิกนิสัยแย่ๆ นี้ได้

ทำไมคนเราถึงผัดวันประกันพรุ่ง

จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Research in Personality พบว่า คนที่มักผัดวันประกันพรุ่งจนติดเป็นนิสัยนั้น จะถนัดเรื่องการเลื่อนงานออกไป สุดท้าย นิสัยนี้ก็ติดตัวไปตลอด ซึ่งเป็นนิสัยแก้ยาก เพราะส่งเสริมให้เราผัดผ่อนงานออกไปตลอด ในความเป็นจริงแล้ว เราเกือบทุกคนมีนิสัยผัดงานด้วยกันทั้งนั้น แต่จากการสำรวจของเว็บไซต์ Psychology Today กลับพบว่า ผู้ที่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนผัดวันประกันพรุ่งมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นเอง ดังนั้น หากคุณกำลังมีปัญหากับการจัดการชีวิต และการงานให้มีประสิทธิภาพ หรือกำลังขาดแรงจูงใจในชีวิต แสดงว่าคุณอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นคนผัดวันประกันพรุ่งจนติดเป็นนิสัยก็ได้ และนี่คือ 2 วิธีที่ต้องทำในการช่วยกำจัด “นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง” ของคุรให้หายไปได้

  1. เพียงแค่เริ่ม “ลงมือทำ”

          การเริ่มต้นทำงานอาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคนชอบผลัดวันประกันพรุ่ง แต่ถ้าเราสามารถฝืนตัวเองให้เริ่มทำงานได้ เราก็จะเหมือนถูกสะกดให้ทำงานนั้นต่อไปเรื่อยๆ  จนจบ นั้นเพราว่าสมองของเราจะถูกบังคับด้วยสิ่งที่เรียกว่า Zeigarnik effect  (เซกานิก เอฟเฟค) ที่จะช่วยให้เราทำสิ่งที่ริเริ่มจนเสร็จสิ้นให้ได้ ดังนั้น วิธีที่จะจัดการกับนิสัยผัดวันประกันพรุ่งได้ก็คือ ‘ททท.’ ที่ย่อมาจาก “ทำ ทัน ที” นั่นเอง

  1. แบ่งงานใหญ่ ให้กลายเป็นงานเล็กๆ

บางงานอาจง่ายก็จริง แต่ปัญหากลับอยู่ที่การเริ่มต้นทำงาน ที่เรามักเลื่อนงานใหญ่ๆ ที่
ใช้เวลานานออกไปก่อน เพราะกลัวว่างานนั้นจะแย่งเวลาของเราไปเสียหมด และทำให้ห้องหรือโต๊ะทำงานนั้นรกจนอึดอัดวุ่นวาย อย่างไรก็ดี ยังมีอีกเคล็ดลับหนึ่งที่ได้รับการรับรองทางจิตวิทยาว่าสามารถทำให้เราเลิกกลัวการเริ่มต้นได้ นั่นคือ ‘การแบ่งงานใหญ่ๆ ให้กลายเป็นขั้นตอนเล็กๆ หลายขั้นตอน’ ซึ่งการแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ จะสามารถทำให้งานเสร็จได้ง่ายกว่าการทำชิ้นใหญ่ให้เสร็จภายในทีเดียว ดังนั้น วิธีนี้จึงช่วยทำให้การเริ่มต้นทำงานของคุณง่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
“การเริ่มต้นลงมือทำ” ช่วยให้เรามีแรงผลักดันทำงานจนเสร็จได้ และ “การแบ่งงาน” จะช่วยให้งานของคุณสำเร็จลุล่วงได้ไวยิ่งขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราก็จะมีเวลาว่างมากขึ้น เมื่อเราสามารถขจัดนิสัยผัดวันประกันพรุ่งออกไปได้

 

“ไม่มีปัญหาใหญ่ใดๆทั้งนั้น มีเพียงแต่ปัญหาเล็กๆ จำนวนมาก”
เฮนรี่ ฟอร์ด (HENRY FORD)